วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Programming

Part
01
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
(Computer Networking)
   Chapter
  01
รู้จักกับ   TCP/IP   (TCP/IP   Protocol)
   ในบทนี้จะกล่าวถึงโปรโตคอลทีซีพีไอพี   (TCP/IP)   และหมายเลขไอพีแอดเดรส   (IP Address),   ซับเน็ตมาสค์   (Subnet Mask)
และการแบ่งซับเน็ตย่อย   (Subnet)   เพื่อให้สามารถกำหนดค่าเหล่านี้ให้กับอุปกรณ์เครือข่าย   อย่างเช่น   คอมพิวเตอร์   ได้
นอกจากนี้จะกล่าวถึงการจัดกลุ่มของอุปกรณ์เครือข่ายในรูปแบบของทีซีพีไอพีเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจการทำงานของอุปกรณ์
1.   ทีซีพีไอพี   (TCP/IP)
   โปรโตคอลทีซีพีไอพี   (TCP/IP)   เป็นโปรโตคอลที่ใช้เพื่อการสื่อสารในเครือข่ายคอมพิวเตอร์   ถูกสร้างขึ้นในปี   1970
โดย   Defense Advanced Research Projects Agency (DARPA) [1]   ซึ่งเป็นหน่วยงานของอเมริกา   ที่สร้างเทคโนโลยีใหม่   ๆ
เพื่อให้กองทัพของอเมริกาใช้   จนกระทั่ง   1990   ได้มีการนำไปประยุกต์ใช้ในวงการธุรกิจ   และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต
โปรโตคอลทีซีพีไอพี   สามารถแบ่งออกเป็น   4   เลเยอร์ [2]   หรือ   5   เลเยอร์ [3]   เพื่อความเข้าใจในการแยกอุปกรณ์เครือข่าย
ตามเลเยอร์   ในนี้จะแบ่งออกเป็น   5   เลเยอร์  
   โปรโตคอลทีซีพีไอพี   (TCP/IP)
Application Layer   เป็นชั้นประยุกต์การใช้งาน   อย่างเช่น   Telnet,  HTTP
Transport Layer   เป็นชั้นขนส่ง   ได้แก่   TCP,  UDP
Network Layer   เป็นชั้นไอพีแอดเดรส   อย่างเช่น   อุปกรณ์   Router
Data Link Layer   เป็นชั้นฮาร์ดแวร์แอดเดรส   อย่างเช่น   อุปกรณ์   Ethernet   Switch
Physical Layer   เป็นชั้นสายเชื่อมต่อ   อย่างเช่น   อุปกรณ์   LAN Cable,  Hub
2.   TCP/IP Networking
   ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงนิยามของขนาดระบบเครือข่าย   จากนั้นจะกล่าวถึงอุปกรณ์ในรูปแบบของเลเยอร์ต่าง   ๆ
เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจการทำงาน   และเห็นความแตกต่างของอุปกรณ์ต่าง   ๆ   ได้ง่ายขึ้น  
   2.1   นิยามของระบบเครือข่าย
   Local Area Network   (LAN)
   Local Area Network   (LAN)   แปลว่า   "ระบบเครือข่ายบริเวณเฉพาะที่"   เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ซึ่งมีขนาดเล็กนิยมใช้ภายในห้องหรือสถานที่เดียวกัน   สำหรับระบบเครือข่ายแบบ   LAN   (แลน)   ในแลน
หนึ่งวงจะต้องมีหนึ่งไอพีซับเน็ต   ดังนั้นอุปกรณ์เครือข่าย   (อย่างเช่น   คอมพิวเตอร์)   ที่อยู่แลนวงเดียวกัน
จะต้องมีไอพีแอดเดรสอยู่ในซับเน็ตเดียวกัน   ซึ่งนั่นหมายความว่าอุปกรณ์เครือข่ายเหล่านี้จะต้องมีหมายเลข
เน็ตเวิร์คแอดเดรส   และบรอดคาสต์แอดเดรสเป็นหมายเลขเดียวกัน
   Wide Area Network   (WAN)
   Wide Area Network   (WAN)   แปลว่า   "ระบบเครือข่ายบริเวณกว้าง"   เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ที่มีการเชื่อมต่อของแลนตั้งแต่สองวงขึ้นไป   และต้องอยู่ห่างไกลกันในคนละสถานที่หรือพื้นที่   อย่างเช่น
การเชื่อมต่อระหว่างมหาวิทยาลัยคนละวิทยาเขตซึ่งอยู่กันคนละเมือง   นอกจากนี้ระบบเครือข่ายแวนจะเกี่ยวข้อง
กับไอพีแอดเดรสหลาย   ๆ   ซับเน็ต   ดังนั้น   อุปกรณ์เราท์เตอร์   (ซึ่งมีหน้าที่ในการส่งข้อมูลแพ็กเก็ตข้ามระหว่างซับเน็ต)
จะถูกใช้ในกรณีนี้
   Intranet   (อินทราเน็ต)
   Intranet   (อินทราเน็ต)   หมายถึง   "ระบบเครือข่ายเชื่อมต่อกันภายใน"   เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ที่มีการเชื่อมต่อกันเองภายในองค์กรเดียวกัน   ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยแลนหลาย   ๆ   วง   ต่อเชื่อมกันภายใน
สถานที่เดียวกัน   หรือแลนหลาย   ๆ   วงที่อยู่ห่างไกลกันคนละเมืองต่อเชื่อมกันผ่านแวน
   Extranet   (เอ็กซ์ทราเน็ต)
   Extranet   (เอ็กซ์ทราเน็ต)   หมายถึง   "ระบบเครือข่ายเชื่อมต่อกันภายนอก"   เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
อินทราเน็ตที่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะ   ซึ่งมักจะเป็นอินเทอร์เน็ต   (Internet)   หรืออาจจะเป็น
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินทราเน็ตที่เชื่อมต่อถึงกันโดยผ่านอินเทอร์เน็ต   (Internet)   อย่างเช่น   Private Public
Network   (VPN)
   Internet   (อินเทอร์เน็ต)
   Internet   (อินเทอร์เน็ต)   หมายถึง   "ระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก"   เป็นระบบเครือข่ายที่มีการ
เชื่อมต่อกันทั่วโลก   ดังนั้น   ภายในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะประกอบไปด้วยแวนต่าง   ๆ   ที่เชื่อมโยง
กันทั่วโลก   นั่นหมายความว่าอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก   และมีเพียงเครือข่ายเดียว
เท่านั้นในโลกใบนี้   จึงกล่าวได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสาธารณะ   (Public Network)
   2.2   การแบ่งอุปกรณ์เครือข่ายในรูปแบบของเลเยอร์
   อุปกรณ์เครือข่ายในเลเยอร์ที่หนึ่ง
   .   Repeater   เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่ในการขยายสัญญาณเพื่อให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น   อุปกรณ์
ประเภทนี้จะมีสองพอร์ต
   .   Hub   (ฮับ)   เป็นอุปกรณ์ศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสายสัญญาณเข้าด้วยกัน   นอกจากนี้ในอุปกรณ์ฮับ
แบบแอ็คทีฟยังทำหน้าที่ในการขยายสัญญาณเพื่อให้สามารถส่งสัญญาณไปได้ไกลขึ้น   อุปกรณ์ประเภท
นี้จะมีหลายพอร์ต
   .   Wireless Access Poit   (AP)   เป็นอุปกรณ์ศูนย์กลางของการเชื่อมต่อสัญญาณไร้สายเข้าด้วยกัน
   สรุป   อาจจะกล่าวอย่างง่าย   ๆ   ได้ว่า   อุปกรณ์   Hub   คือ   Repeater   ที่มีมากกว่าสองพอร์ต   และอุปกรณ์
AP   คือ   Hubสำหรับกรเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไร้สายนั่นเอง
   อุปกรณ์เครือข่ายในเลเยอร์ที่สอง
   .   Bridge   (บริดจ์)   เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานในเลเยอร์ที่สอง   ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่ออุปกรณ์เครือข่าย
เข้าด้วยกันอุปกรณ์ประเภทนี้จะมีเพียงสองพอร์ต   จะต่างจากอุปกรณ์ฮับ   (Hub)   ที่สามารถสร้าง   Bridge Table
เพื่อทำการเก็บค่าพอร์ต   (Port)   และค่า   MAC address   ได้
   .   Ethernet Switch   (อีเธอร์เน็ตสวิตซ์)   เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานในเลเยอร์ที่สอง   ซึ่งทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อม
ต่ออุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน   อย่างเช่น   ใช้ต่อคอมพิวเตอร์หลาย   ๆ   เครื่องเข้าด้วยกันเช่นเดียวกันกับ
อุปกรณ์ฮับ   (Hub)   แต่ว่ามันจะต่างจากอุปกรณ์ฮับ   (Hub)   ที่สามารถสร้าง   Bridge Table   เพื่อทำการเก็บ
ค่าพอร์ต   (Port)   และค่า   MAC address   ได้   และต่างจากอุปกรณ์บริดจ์ตรงที่มีมากกว่าสองพอร์ต
สรุป   อาจจะกล่าวอย่างง่าย   ๆ   ได้ว่า   อุปกรณ์อีเธอร์เน็ตสวิตซ์คือ   อุปกรณ์บริดจ์ที่มีมากกว่าสองพอร์ต
นั่นเอง
   อุปกรณ์เครือข่ายในเลเยอร์ที่สาม
   .   Router   (เราท์เตอร์)   เมื่ออุปกรณ์ในระบบเครือข่ายต้นทาง   และปลายทางอยู่กันคนละซับเน็ต   (ซึ่งอุปกรณ์ทั้งสองตัวอาจจะต่อยู่กับอุปกรณ์สวิตซ์ตัวเดียวกันก็ได้)
ต้องการส่งข้อมูลหากันในกรณีนี้   อุปกรณ์เราท์เตอร์จะเป็นตัวทำหน้าที่ในการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสม   และ
ทำการส่งแพ็กเก็ต   (Packet)   นี้ข้ามระบบเครือข่าย   (LAN)ผ่าน   แวน   (WAN)   ออกไปยังระบบเครือข่าย   (LAN)
ปลายทาง   หรือถ้าอุปกรณ์ต้นทาง   และปลายทางอยู่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน   อุปกรณ์เราท์เตอร์   (Router)
ก็จะทำการส่งแพ็กเก็ต   (Packet)   นี้ผ่านอินเตอร์เฟส   (Interface)   ที่เหมาะสมไปยังปลายทาง
   .   L3 Ethernet Switch   (อีเธอร์เน็ตสวิตซ์เลเยอร์ที่สาม)   เป็นอุปกรณ์ที่รวมข้อดีของอีเธอร์เน็ตสวิตซ์   และ
เราท์เตอร์เข้าไว้ด้วยกันในอุปกรณ์เดียวกัน   นอกจากนี้การทำงานในส่วนของการเราท์ติงในเลเยอร์สามเป็น
วงจรฮาร์ดแวร์ซึ่งคือ   Application-Specic Integrated Circuit   (ASIC)   ทำให้มีความเร็วในการทำงานสูงกว่าการ
ใช้เราท์เตอร์ทั่ว   ๆ   ไปที่มักจะใช้ซอฟต์แวร์ในการทำงาน
3.   ไอพีแอดเดรสเวอร์ชัน   4   (IP Address v. 4)
   โปรโตคอลทีซีพีไอพีมีการกำหนดหมายเลขเฉพาะสำหรับอุปกรณ์ที่สื่อสารระหว่างกันในเครือข่าย   ซึ่ง
หมายเลขเหล่านี้คือ   หมายเลขไอพีแอดเดรส   (IP Address)   และซับเน็ตมาสค์   (Subnet Mask)   โดยหมายเลข
ไอพี   หรือไอพีแอดเดรส   (Internet Protocol Access)   จะเป็นตัวเลขฐานสอง   จำนวน   32   บิต   เวลาใช้
งานจะเขียนตัวเลขแบ่งเป็น   4   ชุด   ชุดละ   8   บิต   การใช้งานไอพีแอดเดรสเพื่อให้เกิดความสะดวกและ
เข้าใจง่าย   จึงนิยมแสดงผลไอพีแอดเดรสแต่ละชุด   เป็นเลขฐานสิบ   แทนที่จะเป็นเลขฐานสองจำนวน   8   บิต
เช่น   แสดงผลไอพีแอดเดรสเป็นเลขฐานสิบ   10.10.0.1   แทนไอพีแอดเดรส   00000101.00000101.000000000.000000001
(เลขฐานสองจำนวน   4   ชุด   ชุดละ   8   บิต)
   3.1   คลาส   (Class)
   ไอพีเวอร์ชัน   4   ได้ถูกแบ่งออกเป็น   5   คลาส   (Class)
   สำหรับไอพีในช่วง   127.0.0.0   ถึง   127.255.255.255   ซึ่งไม่อยู่ในคลาสใด   ๆ   เลย   จะใช้สำหรับการ
ทดสอบระบบ   ซึ่งไอพีช่วงนี้เรียกว่า   ไอพีลูปแบ็ค   (IP Loop Back)
   3.1.1   เน็ตเวิร์ค   (Network)   และโฮสต์   (Host)
   ไอพีแอดเดรสที่ใช้งานกันโดยทั่วไปจะอยู่ในคลาส   A,  B   และ   C   โดยในหนึ่งไอพีแอดเดรสจะประกอบ
ไปด้วย   2   ส่วนคือ   หมายเลขเน็ตเวิร์ค   (Network ID)   และหมายเลขโฮสต์   (Host ID)   ซึ่งหมายเลขทั้ง
สองส่วนนี้จะใช้สำหรับแบ่งกลุ่มไอพีแอดเดรสออกเป็นกลุ่มเน็ตเวิร์คย่อย   โดยมีรูปแบบการแบ่ง
   จะพบว่าคลาส   A   จะมีหมายเลขเน็ตเวิร์ค   (Network ID)   หรือเน็ตเวิร์คบิต   (Network Bit)   เพียงแค่   8   บิต   (Bit)   และ
มีหมายเลขโฮสต์   (Host ID)   หรือโฮสต์บิต   (Host Bit)   มากถึง   24   บิต   (Bit)   ซึ่งหมายความว่า   ไอพีแอดเดรสในคลาส   A   มีการ
แบ่งกลุ่มไอพีแอดเดรสเป็นกลุ่มขนาดใหญ่   ดังจะเห็นได้จากมีจำนวนเน็ตเวิร์ค   (Network)   เพียง   128   กลุ่ม   โดยแต่ละกลุ่มมี
จำนวนหมายเลขไอพีแอดเดรส   (Host)   มากถึง   16,777,214   หมายเลข
   ในทางกลับกัน   คลาส   C   จะมีเน็ตเวิร์คบิต   (Network Bit)   มากถึง   24   บิต   (Bit)   แต่มีโฮสต์   (Host Bit)   เพียงแค่   8   บิต   (Bit)
ซึ่งหมายความว่า   ไอพีแอดเดรสในคลาส   C   มีการแบ่งกลุ่มไอพีแอดเดรสเป็นกลุ่มขนาดย่อย   ทำให้มีจำนวนเน็ตเวิร์ค   (Network)
มากถึง   2,087,152   กลุ่ม   โดยแต่ละกลุ่มมีจำนวนหมายเลขไอพีแอดเดรสเพียงแค่   254   หมายเลข
   3.2   ไอพีส่วนตัว   (Private IP Address)
   ในไอพีเวอร์ชัน   4   มีไอพีแอดเดรสส่วนตัว   (Private IP Address)   ไว้สำหรับใช้เป็นการภายในองค์กร   ซึ่งไอพีแอดเดรส
ส่วนตัวจะสามารถสื่อสารกันภายในกลุ่มไอพีแอดเดรสส่วนตัวด้วยกันได้เท่านั้น   ไม่สามารถสื่อสารข้ามไปยังไอพีแอดเดรส
อื่น   ๆ   ได้โดยตรง   หรือเรียกง่าย   ๆ   คือ   ไอพีแอดเดรสส่วนตัวไม่สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต   (Internet)   ซึ่งเป็นเครือข่าย
สาธารณะได้โดยตรง   เพราะอุปกรณ์เราท์เตอร์   (Router)   จะไม่ทำการส่งแพ็คเกจที่มีไอพีเหล่านี้ออกไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
หมายเลขไอพีแอดเดรสส่วนตัวถูกแสดงไว้ในตาราง
   3.3  ตารางการแบ่งซับเน็ต  (Subnet Table)
  นอกจากการแบ่งไอพีแอดเดรสออกเป็นคลาสแล้ว  ไอพีแอดเดรสในแต่ละคลาสยังสามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้อีก
ด้วย  โดยการแบ่งแบบนี้เราเรียกว่า  การทำซับเน็ต  (Subnetting)  คือ  การนำไอพีหนึ่งคลาสมาแบ่งเป็นหลาย  ๆ  คลาสย่อยนั่นเอง
   3.4   Classless Inter Domain Routing (CIDR)
   เนื่องจากการแบ่งไอพีแอดเดรสเป็นคลาส   A, B, C   ทำให้มีหมายเลขไอพีแอดเดรสบางหมายเลขเหลือใช้   โดยเฉพาะ
ในคลาส   A   และ   B   เนื่องจากการนำไปใช้งานจริง   ในแต่ละเน็ตเวิร์คมักจะใช้งานไอพีแอดเดรสจำนวนไม่มาก   ทำให้มีไอพี
แอดเดรสเหลือใช้จำนวนมาก   เพื่อแก้ไขปัญหานี้จึงได้มีการคิดค้น   CIDR   ขึ้น   เพื่อใช้แบ่งไอพีแอดเดรสใหม่   โดยการใช้ซับเน็ต
มาสค์   (Subnet Mask)   เข้าช่วย
   การแบ่งไอพีแอดเดรสแบบ   CIDR   จะเป็นการแบ่งที่ละเอียดขึ้น   โดยสามารถเลือกแบ่งจำนวนบิตที่จะนำมาใช้เป็น
หมายเลขเน็ตเวิร์ค   และหมายเลขโฮสต์ได้   32   แบบ   และจะสังเกตได้ว่า   การแบ่งไอพีแอดเดรสแบบ   CIDR   ที่
ใช้หมายเลขเน็ตเวิร์คเป็น   8   บิต   จะเท่ากับการแบ่งตามมาตรฐานในคลาส   A   ใช้หมายเลขเน็ตเวิร์คเป็น   16  บิต   จะเท่ากับการ
แบ่งตามมาตรฐานในคลาส   B   และใช้หมายเลขเน็ตเวิร์คเป็น   24   บิต   จะเท่ากับการแบ่งตามมาตรฐานในคลาส   C
   ไอพีแอดเดรสที่แบ่งแบบ   CIDR   จะไม่เป็นไปตามมาตรฐานของคลาส   A, B, C   ดังนั้น   เพื่อป้องกันความสับสน   ไอพี
แอดเดรสที่แบ่งแบบ   CIDR   จะต้องเขียนไอพีแอดเดรสพร้อมกับเน็ตมาสค์ในรูปแบบ   A.B.C.D /n   โดยที่   "/n"   คือ   สัญลักษณ์
ถูกเรียกว่า   IP prex   หรือ   network prex   ซึ่งจะทำหน้าที่ระบุจำนวนบิตที่ใช้เป็นเน็ตเวิร์คบิต   (Network Bit)
   ตาราง   ข้างบน   ได้แสดงสรุปการใช้สัญลักษณ์   CIDR   ตัวอย่างเช่น   192.168.14.22  /18   หมายความว่า   18   บิตแรก   ถูก
ใช้เป็นเน็ตเวิร์คบิต   (Network Bit)   และที่เหลืออีก   14   บิต   ถูกใช้เป็นโฮสต์บิต   (Host Bit)
   ในไอพีแอดเดรสหนึ่งซับเน็ต   (คลาสย่อย)   จะประกอบไปด้วย
   .   เน็ตเวิร์คแอดเดรส   (Network Address)   คือ   ไอพีแอดเดรสหมายเลขแรกของซับเน็ต   ซึ่งห้ามใช้เป็นไอพีแอดเดรสของโฮสต์
   .   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   ช่วงหรือหมายเลขแอดเดรสจำนวนหนึ่ง   ที่สามารถกำหนดให้กับโฮสต์ได้
   .   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   ไอพีแอดเดรสหมายเลขสุดท้ายของซับเน็ต   ซึ่งห้ามใช้เป็นไอพีแอดเดรสของโฮสต์
ตัวอย่าง   ไอพีแอดเดรสซับเน็ต   192.18.1.0/25
   เน็ตเวิร์คแอดเดรส   (Network Address)   คือ   192.18.1.1
   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   192.18.1.1   ถึง   192.18.1.127
   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   192.18.1.128
ตัวอย่าง   ไอพีแอดเดรสซับเน็ต   192.18.1.128/25
   เน็ตเวิร์คแอดเดรส   (Network Address)   คือ   192.18.1.128
   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   192.18.1.129   ถึง   192.18.1.254
   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   192.18.1.255
ตัวอย่าง   ไอพีแอดเดรสซับเน็ต   203.18.2.0/30
   เน็ตเวิร์คแอดเดรส   (Network Address)   คือ   203.18.2.1
   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   203.18.2.1   ถึง   203.18.2.2
   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   203.18.2.3
ตัวอย่าง   ไอพีแอดเดรสซับเน็ต   203.18.2.4/30
   เน็ตเวิร์คแอดเดรส   (Network Address)   คือ   203.18.2.4
   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   203.18.2.5   ถึง   203.18.2.6
   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   203.18.2.7
ตัวอย่าง   ไอพีแอดเดรสซับเน็ต   203.18.2.8/30
   เน็ตเวิร์คแอเดรส   (Network Address)   คือ   203.18.2.8
   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   203.18.2.9   ถึง   203.18.2.10
   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   203.18.2.11
ตัวอย่าง   ไอพีแอดเดรสซับเน็ต   203.18.2.12/30
   เน็ตเวิร์คแอดเดรส   (Network Address)   คือ   203.18.2.12
   โฮสต์แอดเดรส   (Host Address)   คือ   203.18.2.13   ถึง   203.18.2.14
   บรอดคาสต์แอดเดรส   (Broadcast Address)   คือ   203.18.2.15
   3.5   การกำหนดไอพีแอดเดรส์เวอร์ชัน   4   (IP Address v. 4)
   3.5.1   การกำหนดค่าไอพีแอดเดรสในวงแลน   (LAN)   เดียวกัน
   ในแลนวงเดียวกัน   อุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมดจะอยู่ในซับเน็ตเดียวกัน   ดังนั้น   อุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมดจะมีค่าเน็ตเวิร์ค
แอดเดรส   และบรอดคาสต์แอดเดรสเป็นหมายเลขเดียวกัน
มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สองตัวต้องการสื่อสารถึงการ   ซึ่งจัดว่าเป็นระบบเครือข่ายแลน   (LAN)   ขนาดเล็ก
ตัวอย่างที่   1   สมมุติกำหนดไอพีแอดเดรสมาให้หนึ่งคลาส   C   ซึ่งคือ   192.168.1.0/24   สำหรับกำหนดไอพีแอดเดรสให้กับอุปกรณ์เครือข่าย
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   192.168.1.0
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   192.168.1.255
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.255.0
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์คือ   192.168.1.1   ถึง   192.168.1.254
ตัวอย่างที่   2   สมมุติกำหนดไอพีแอดเดรสมาให้หนึ่งซับเน็ต   ซึ่งคือ   192.168.1.0/25   สำหรับกำหนดไอพีแอดเดรสให้กับอุปกรณ์เครือข่าย
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   192.168.1.0
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   192.168.1.127
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.255.128
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์คือ   192.168.1.1   ถึง   192.168.1.126
ตัวอย่างที่   3   สมมุติกำหนดไอพีแอดเดรสมาให้หนึ่งซับเน็ต   ซึ่งคือ   192.168.1.128/25   สำหรับกำหนดไอพีแอดเดรสให้กับอุปกรณ์เครือข่าย
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   192.168.1.128
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   192.168.1.255
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.255.128
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์คือ   192.168.1.129   ถึง   192.168.1.254
ตัวอย่างที่   4   สมมุติกำหนดไอพีแอดเดรสมาให้หนึ่งซับเน็ต   ซึ่งคือ   192.168.1.0/30   สำหรับกำหนดไอพีแอดเดรสให้กับอุปกรณ์เครือข่าย
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   192.168.1.1
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   192.168.1.3
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.255.252
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์คือ   192.168.1.1   ถึง   192.168.1.2
ตัวอย่างที่   5   สมมุติกำหนดไอพีแอดเดรสมาให้หนึ่งซับเน็ต   ซึ่งคือ   192.168.1.4/30   สำหรับกำหนดไอพีแอดเดรสให้กับอุปกรณ์เครือข่าย
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   192.168.1.4
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   192.168.1.7
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.255.252
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์คือ   192.168.1.5   ถึง   192.168.1.6
   3.5.2   การกำหนดค่าไอพีแอดเดรสสำหรับอินทราเน็ต
   ระบบเครือข่ายอินทราเน็ต   (Intranet)   ซึ่งมีแลน   (LAN)   สองวงเชื่อมต่อกันผ่านเราท์เตอร์   ในกรณีนี้
วงแลนทั้งสองวงมักจะอยู่ภายในสถานที่เดียวกัน   อย่างเช่น   อยู่ภายในตึกเดียวกันแต่คนละชั้น   ในระบบเครือข่ายอินทราเน็ต
นี้ต้องการไอพีแอดเดรส   2   ซับเน็ต   หรือ   2   คลาส   สำหรับแลนแต่ละวง   แต่ในเครือข่ายนี้มีการแบ่งไอพีแอดเดรสคลาส   A
(10.0.0.0/8)   ออกเป็นหลาย   ๆ   ซับเน็ต   สำหรับเราท์เตอร์ซึ่งต่อเชื่อมทั้งสองแลนเข้าด้วยกัน   จะต้องมีอย่างน้อยสองอินเตอร์เฟส
(Interface)   และในแต่ละอินเตอร์เฟสจะต้องมีไอพีแอดเดรสเป็นซับเน็ตเดียวกับวงแลนที่เชื่อมต่อยู่   อย่างเช่น  อินเตอร์เฟส   F1
ซึ่งต่อยู่กับ   LAN   1   จะต้องมีไอพีแอดเดรสอยู่ภายในซับเน็ต   10.9.0.0/16
   ใน   LAN1   มีไอพีซับเน็ตเป็น   10.8.0.0/16
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   10.8.0.0
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   10.8.255.255
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.0.0
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์เครือข่ายคือ   10.8.0.1   ถึง   10.8.255.254
   เราท์เตอร์   A   อินเตอร์เฟส   (Interface)   F0   มีไอพีแอดเดรสเป็น   10.8.0.1
   คอมพิวเตอร์   A   มีไอพีแอดเดรสเป็น   10.8.0.2
   ใน   LAN2   มีไอพีซับเน็ตเป็น   10.9.0.0/16
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   10.9.0.0
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   10.9.255.255
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.0.0
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์เครือข่ายคือ   10.9.0.1   ถึง   10.9.255.254
   เราท์เตอร์   A   อินเตอร์เฟส   (Interface)   F1   มีไอพีแอดเดรสเป็น   10.9.1.1
   คอมพิวเตอร์   A   มีไอพีแอดเดรสเป็น   10.9.1.2

   3.5.3   การกำหนดค่าไอพีแอดเดรสสำหรับอินทราเน็ตผ่านแวน
   ระบบเครือข่ายอินทราเน็ต   (Intranet)   ซึ่งมีแลนสองวงเชื่อมต่อกันผ่านแวน   ในกรณีนี้วงแลนทั้งสอง
อยู่กันคนละสถานที่   อย่างเช่น   อยู่คนละเมือง   ในระบบเครือข่ายอินทราเน็ตนี้ต้องการไอพีแอดเดรส   3   ซับเน็ต   หรือ   3   คลาส
สำหรับแลนสองวงและแวนหนึ่งวง   โดยในแวนวงนี้จะมีเราท์เตอร์สองตัวต่อเชื่อมกัน
   ใน   WAN   มีไอพีซับเน็ตเป็น   192.168.4.0/30
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   192.168.4.0
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   192.168.4.3
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.255.252
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์เครือข่ายคือ   192.168.4.1   ถึง   192.168.4.2
   เราท์เตอร์   A   อินเตอร์เฟส   (Interface)   S1   มีไอพีแอดเดรสเป็น   192.168.4.1
   เราท์เตอร์   B   อินเตอร์เฟส   (Interface)   S1   มีไอพีแอดเดรสเป็น   192.168.4.2
   ใน   LAN1   มีไอพีซับเน็ตเป็น   10.8.0.0/16
   เน็ตเวิร์คแอดเดรสคือ   10.8.0.0
   บรอดคาสต์แอดเดรสคือ   10.8.255.255
   ซับเน็ตมาสค์คือ   255.255.0.0
   ไอพีแอดเดรสที่สามารถกำหนดให้อุปกรณ์เครือข่ายคือ   10.8.0.1   ถึง   10.8.255.254
   เราท์เตอร์   A   อินเตอร์เฟส   (Interface)   F0   มีไอพีแอดเดรสเป็น   10.8.0.1
   คอมพิวเตอร์   A   มีไอพีแอดเดรสเป็น   10.8.0.2